โรคเอส แอล อี (SLE)
บางคนอาจรู้จักในคำว่า โรคลูปัส เป็นโรคในกลุ่ม ออโตอิมมูน (autoimmune disease) โรคหนึ่ง
โรคออโตอิมมูน คือโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ที่โดยปกติทำหน้าที่ต่อต้าน และทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย ผ่านกลไกของเม็ดเลือดขาว แอนติบอดี การอักเสบ เป็นต้น แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ ร่างกายกลับให้ระบบภูมิคุ้มกัน ต่อต้านเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ของร่างกายตนเอง ในระบบอวัยวะต่างๆ ต่างจากโรคภูมิแพ้ ซึ่งโรคภูมิแพ้ไม่มีการต่อต้านเนื้อเยื่อหรือเซลล์ของตนเอง
โรคเอส แอล อี นั้นพบได้ประปรายทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ความชุกของโรค พบตั้งแต่ 12-254 คนต่อประชากร 100,000 คน พบมากในช่วงอายุ 20-40 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 10 เท่า โดยพบได้บ่อยในเพศหญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และเมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยเอสโตรเจนในขนาดสูง พบว่ามีโอกาสที่โรคเอสแอลอีจะกำเริบได้สูงมาก นอกจากนี้การตั้งครรภ์ยังทำให้อาการของโรคกำเริบมากขึ้นอีกด้วย ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบ ในประเทศไทยพบได้ค่อนข้างบ่อย และมักมีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะเมื่อมีอาการทางไตร่วมด้วย แต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ผู้ป่วย เอส แอล อี สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เช่นเดียวกับคนทั่วไป โดยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนปกติ โดยยาที่ใช้รักษาโรคนี้คือ ยาสเตียรอยด์ และ ยาที่ออกฤทธิ์ช้า
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย เอส แอล อี
1.รับประทานยาสม่ำเสมอ เนื่องจากถ้าทานยาไม่ครบอาจทำให้โรคกำเริบ
2.ระวังอาการไม่สบาย เนื่องจากผู้ป่วยได้รับยาสเตียรอยด์ซึ่งมีผลข้างเคียงที่ทำให้ติดเชื้อง่ายจึงอาจทำให้โรคกำเริบได้
3.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอื่น ที่อาจทำให้โรคกำเริบ เช่น ยาบางชนิด น้ำยาย้อมผม ความเครียด การถูกแดด จึงไม่ควรตากแดดนาน ไม่ซื้อยากินเอง ทำจิตใจให้แจ่มใส
4.ต้องได้รับการรักษาโรคในระบบนั้นๆ อย่างดี เช่น ไตอักเสบ เม็ดเลือดแดงแตก เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น